ป้องกัน Backend เว็บไซต์ ให้ปลอดภัยขึ้นด้วย “2FA”

9 กันยายน 2025

NT cyfence
NT cyfenceทีมงาน NT cyfence ที่พร้อมให้คำปรึกษา และ ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกองค์กร อย่างครบวงจร ด้วยทีมงานมืออาชีพ

บทนำ: ทำไมระบบ Backend จึงมีความสำคัญ

ในยุคที่ทุกองค์กรต้องมีตัวตนบนโลกออนไลน์ เว็บไซต์ไม่ใช่แค่หน้าร้านดิจิทัลอีกต่อไป แต่กลายเป็นศูนย์กลางของการสื่อสาร การให้บริการ และการดำเนินธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บให้ข้อมูล เว็บสมัครสมาชิก หรือเว็บแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับระบบภายใน องค์กรจึงต้องมีระบบบริหารจัดการเบื้องหลัง หรือที่เรียกว่า Backend เพื่อจัดการเนื้อหา บริหารข้อมูล และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงต่าง ๆ
แต่ในขณะที่หลายองค์กรลงทุนกับหน้าบ้านให้ดูดี มี UX ที่ลื่นไหล อาจจะละเลยการป้องกันหลังบ้านที่เป็นหัวใจของระบบทั้งหมด หาก Backend ถูกเจาะได้ เท่ากับเปิดประตูให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรโดยตรง แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรยังพึ่งพาเพียงรหัสผ่าน (Password-only) ในการยืนยันตัวตน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่แฮกเกอร์ใช้เจาะระบบได้ง่ายที่สุด ลองจินตนาการว่าหากใช้กุญแจดอกเดียวในการไขประตูบ้าน ประตูห้องเก็บข้อมูล ประตูตู้เซฟ แล้วกุญแจดอกนี้ตกไปอยู่ในมือโจร จะก่อให้เกิดความเสียหายมากเพียงไหน การใช้เพียงรหัสผ่านในการป้องกัน Backend ก็มีลักษณะไม่ต่างกัน

ภัยคุกคามจากการใช้ Password เพื่อเข้าสู่ระบบเพียงอย่างเดียว

Phishing (ฟิชชิ่ง) : อีเมลปลอมหรือเว็บปลอมที่หลอกให้กรอกรหัสผ่านบนเว็บไซต์ที่ดูเหมือนจริงทุกอย่างเพื่อที่จะขโมยรหัสผ่านจากเหยื่อ
Credential Leak (ข้อมูลรั่วไหล) : เว็บไซต์หรือบริการต่างๆ ที่ผู้ใช้งานเคยลงทะเบียนเอาไว้อาจถูกแฮก และข้อมูลรหัสผ่านรั่วไหลออกมา ซึ่งรหัสผ่านนั้นมักจะถูกนำไปใช้ทดลองเข้าสู่ระบบอื่นๆ ที่เคยใช้งานด้วย (Credential Stuffing)
Brute Force Attack (การโจมตีแบบสุ่มเดา) : แฮกเกอร์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สุ่มรหัสผ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ หากรหัสผ่านไม่ซับซ้อนพอ ก็มีโอกาสถูกเจาะได้สูง

ตามรายงาน Verizon Data Breach Investigations Report พบว่า กว่า 80% ของการเจาะระบบเว็บแอปพลิเคชันมีสาเหตุมาจากการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบ ไม่ว่าจะเกิดจาก Phishing หรือ Credential Leak ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาส่วนบุคคล แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจ ทั้งความเสียหายทางการเงิน การสูญเสียชื่อเสียง ไปจนถึงความเสี่ยงทางกฎหมาย ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่เข้มงวดมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้องค์กรได้รับผลกระทบและต้องรับผิดชอบโดยตรงหากข้อมูลลูกค้าถูกละเมิด

ทำไมต้องใช้ Multi-Factor Authentication (MFA/2FA)?

Multi-Factor Authentication (MFA) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Two-Factor Authentication (2FA) คือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยอีกหนึ่งชั้นนอกเหนือจากรหัสผ่าน โดยต้องยืนยันตัวตนด้วย ‘ปัจจัยที่สอง’ ซึ่งมี 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. สิ่งที่ผู้ใช้รู้ (Knowledge Factor) เช่น รหัสผ่าน, PIN
  2. สิ่งที่ผู้ใช้มี (Possession Factor) เช่น โทรศัพท์มือถือ (รับ OTP), Hardware Token, Authenticator App
  3. สิ่งที่ผู้ใช้เป็น (Inherence Factor) เช่น ลายนิ้วมือ, สแกนใบหน้า

การเพิ่มปัจจัยการยืนยันตัวตนอีกชั้นหนึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่องค์กรควรนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยง ปกป้องระบบ Backend และข้อมูลสำคัญของธุรกิจ เพราะสามารถช่วยป้องกันระบบได้แม้ว่ารหัสผ่านจะถูกขโมยไป

แอปพลิเคชันที่ใช้ในการทำ 2FA

ในปัจจุบันมีหลายแอปพลิเคชันที่สามารถช่วยทำ Two-Factor Authentication (2FA) ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและใช้งานง่าย แต่ละแอปพลิเคชันจะมีจุดเด่นต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ใช้งาน บุคคลทั่วไป, Developer, หรือองค์กร โดยแอปพลิเคชันที่นิยมใช้งานมีดังนี้

Google Authenticator

เป็นแอปฯที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งเพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เพียงแค่สแกน QR Code จากเว็บไซต์หรือบริการที่ต้องการเชื่อมต่อ ตัวแอปก็จะสร้างรหัส OTP แบบใช้ครั้งเดียว (Time-based One-Time Password – TOTP) และจะเปลี่ยนใหม่ทุก 30 วินาที
จุดเด่น: ฟรี, ใช้งานง่าย, เป็นที่รู้จัก, ผู้ให้บริการมีความน่าเชื่อถือ และรองรับบริการออนไลน์ส่วนใหญ่
เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานทั่วไป, นักพัฒนาที่ต้องการทดสอบระบบ 2FA อย่างง่าย

Authy

มีฟีเจอร์ที่เหนือกว่า Google Authenticator คือสามารถสำรองข้อมูล (Backup) ได้ ทำให้สามารถกู้คืนบัญชี 2FA ได้ง่ายๆ หากโทรศัพท์หายหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ และยังสามารถใช้งานได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน
จุดเด่น: มี Cloud Backup, รองรับหลายอุปกรณ์, มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย ใช้งานได้ทั้งบนมือถือและ Desktop
เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงจากการสูญเสียอุปกรณ์ หรือองค์กรที่ต้องการความสะดวกในการกู้คืน

Aegis Authenticator

เป็นแอปพลิเคชันแบบ Open-Source ที่เก็บข้อมูลบัญชี 2FA ไว้ในเครื่อง (Local Storage) และเข้ารหัสด้วย Master Password หรือไบโอเมตริก ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะไม่ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
จุดเด่น: Open-Source, เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยสูง ทำงานแบบออฟไลน์ได้ และไม่มีการส่งข้อมูลไปยัง Cloud
เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และต้องการควบคุมข้อมูลทั้งหมดด้วยตนเอง

Cisco Duo

Cisco Duo ไม่ได้เป็นแค่แอปสร้าง OTP ทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์ม MFA/2FA สำหรับองค์กร ตัวแอปจะมีฟีเจอร์ Push Notification และ Policy Control โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพิมพ์รหัส OTP เพียงแค่กด ‘Approve’ จากการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์มือถือก็สามารถเข้าสู่ระบบได้ทันที
จุดเด่น: ใช้งานง่ายด้วย Push Notification มีระบบบริหารจัดการสำหรับองค์กร (Policy Control) และมีให้ทดลองใช้ฟรีสำหรับองค์กรที่มีผู้ใช้ไม่เกิน 10 คน และใช้ Feature ที่จำกัด
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจและองค์กรขนาดเล็กที่ต้องการระบบ 2FA ที่มีประสิทธิภาพสูงและจัดการได้ง่าย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

2FA – Free vs Commercial เลือกแบบไหนดี?

เมื่อองค์กรต้องการนำการยืนยันตัวตน 2FA หรือ Two-Factor Authentication มาใช้ในองค์กร คำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ควรเลือก Free Tools หรือ Commercial Tools? คำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการและระดับความพร้อมขององค์กรเอง แต่ละแบบมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

Free 2FA Tools เหมาะกับใคร?

เครื่องมืออย่าง Authy, Google Authenticator หรือ Microsoft Authenticator เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ใช้งานได้ฟรีและติดตั้งง่าย

ข้อดี:
ใช้งานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายด้าน License หรือ Subscription
สามารถเริ่มต้นได้ง่ายและทำได้ทันที
การใช้งานไม่ซับซ้อน

ข้อจำกัด:
ไม่มีระบบจัดการผู้ใช้ (User Management) หรือ Policy Control
ไม่รองรับการ Integrate เข้ากับระบบ IAM/SSO ที่ซับซ้อน
หากเกิดปัญหา มักต้องแก้ไขเอง เพราะไม่มีการสนับสนุนทางเทคนิคจากผู้ให้บริการ

เหมาะสำหรับ:
บุคคลทั่วไป
องค์กรขนาดเล็ก

Commercial 2FA Tools เหมาะกับใคร?

เครื่องมือ 2FA ที่เป็น Commercial เช่น Cisco Duo, Microsoft Enterprise MFA มีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการความปลอดภัยเชิงลึกและการจัดการที่เป็นระบบ

ข้อดี:
มี Dashboard ให้ Admin บริหารจัดการผู้ใช้และตั้ง Policy ได้
รองรับ SSO (Single Sign-On) และเชื่อมต่อกับระบบ IAM
มีฟังก์ชันเสริม เช่น Audit Report, Compliance Check, Threat Intel
มีบริการ Support การใช้งาน และ SLA ระดับองค์กร

ข้อจำกัด:
มีค่าใช้จ่าย License หรือ Subscription
ต้องวางแผนและใช้เวลาในการ Implement มากกว่า Free Tools

เหมาะสำหรับ :
องค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและต้องการระบบที่สามารถปรับขนาดการใช้งาน (Scalable) ได้ง่าย
ธุรกิจที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance): เช่น ภาคการเงิน สาธารณสุข หรือธุรกิจที่ต้องจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ต้องมี Audit Trail และ Policy ที่เข้มงวด
องค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง: มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น Risk-based Authentication (การยืนยันตัวตนจากความเสี่ยง), Push Notification ที่ใช้งานง่าย, และการรวมระบบ (Integration) กับแอปพลิเคชันอื่นๆ ในองค์กรได้

ตารางเปรียบเทียบ 2FA แบบ Free และ Commercial

 

Authy ตัวเลือกที่น่าสนใจ ในการเริ่มทำ MFA ด้วยตัวเอง

ในบรรดาแอปพลิเคชัน 2FA ที่มีให้เลือกมากมาย Authy ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่ม Developer Admin และธุรกิจหรือองค์กรขนาดเล็ก (Small and Medium Business หรือ SMB) เพราะไม่ได้มีแค่ฟังก์ชันสร้างรหัส OTP ทั่วไป แต่มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์การใช้งานในระดับที่สูงกว่า Google Authenticator

Authy เป็นแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างรหัส TOTP (Time-based One-Time Password) เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนแบบ 2FA โดยมีหน้าตาที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และรองรับการทำงานกับเว็บไซต์หรือบริการออนไลน์ส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี

จุดเด่นของ Authy

  • Cloud Backup – เป็นจุดเด่นสำคัญที่สุดของ Authy (ซึ่งไม่มีใน Google Authenticator) โดยผู้ใช้สามารถสำรองข้อมูลบัญชี 2FA ทั้งหมดไว้บน Cloud และเข้ารหัสด้วยรหัสผ่านหลัก (Master Password) หากโทรศัพท์มือถือหาย ถูกขโมย หรือเสีย ก็สามารถกู้คืนบัญชี 2FA ทั้งหมดได้ทันทีด้วยการลงชื่อเข้าใช้ Authy บนเครื่องใหม่โดยไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าใหม่
  • รองรับการทำงานบนหลายแพลตฟอร์ม – Authy มีทั้งเวอร์ชันโทรศัพท์มือถือ Desktop (Windows, macOS) และ Chrome Extension ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงรหัส 2FA ได้จากทุกอุปกรณ์ และมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง จึงเหมากับทั้ง Developer และ Admin
  • Multi-device sync – ด้วยคุณสมบัติ Cloud Backup ทำให้สามารถ Sync บัญชี 2FA ไปยังอุปกรณ์หลายเครื่องได้พร้อมกัน ทำให้สะดวกมากสำหรับผู้ที่มีโทรศัพท์มือถือหลายเครื่อง หรือต้องการให้ทีมงานบางส่วนเข้าถึงบัญชีที่จำเป็นได้

ทำไม Developer, Admin และ SMB จึงควรเลือก Authy

  • สำหรับ Developer: Authy ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการบัญชี 2FA จำนวนมากสำหรับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ต้องใช้งาน และการมี Cloud Backup ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าบัญชี 2FA จะหายไปหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • สำหรับ Admin/IT Support: ความสามารถในการจัดการและกู้คืนบัญชี 2FA ได้ง่าย ทำให้การดูแลผู้ใช้งานภายในองค์กรเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยาก ลดเวลาที่ต้องใช้ในการรีเซ็ตบัญชี และลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหาย
  • สำหรับธุรกิจ/องค์กรขนาดเล็ก (SMB): ธุรกิจหรือองค์กรขนาดเล็กที่มีทีมงานจำกัดและต้องบริหารจัดการระบบเอง การเลือกใช้ Authy เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเพราะไม่ต้องลงทุนในแพลตฟอร์มที่ซับซ้อนและมีราคาสูง ทั้งยังสะดวกในการใช้งานและกู้คืนข้อมูล

วิธีการติดตั้ง Authy 2FA ฟรี บนเว็บไซต์

หลายองค์กรอาจเข้าใจผิดว่าการเปิดใช้ Two-Factor Authentication (2FA) สำหรับ Backend เว็บต้องซับซ้อน แต่ในความจริงแล้วสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีค่าใช้จ่ายและใช้เวลาไม่นานโดยใช้ Authy ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้

1. สมัครและติดตั้ง Authy Application

ดาวน์โหลด Authy: เริ่มต้นด้วยการดาวน์โหลดแอป Authy จาก App Store (iOS) หรือ Google Play Store (Android) หรือจากเว็บไซต์ของ Authy เพื่อติดตั้งเวอร์ชัน Desktop
เว็บไซต์ : https://www.authy.com
Android App : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.authy.authy
iOS App : https://apps.apple.com/us/app/twilio-authy/id494168017

สมัครสมาชิก: เปิดแอป Authy และสมัครสมาชิกด้วยหมายเลขโทรศัพท์ จากนั้นระบบจะส่งรหัสยืนยัน (Verification Code) เพื่อยืนยันตัวตน

ตั้งค่า Master Password: สร้างรหัสผ่านหลัก (Master Password) เพื่อใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลบัญชี 2FA บน Cloud ซึ่ง Password ชุดนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการกู้คืนบัญชีหากอุปกรณ์สูญหาย

2. การติดตั้ง Agent/Integration สำหรับ Website

Authy มี SDK (Software Development Kit) และ API ที่ทำให้ Developer สามารถเชื่อมต่อระบบ 2FA เข้ากับเว็บไซต์หรือ Backend ได้โดยง่าย

  • เลือกภาษา/Framework: Authy มี SDK ที่รองรับภาษาและ Framework ยอดนิยมมากมาย เช่น Python, Ruby, PHP, Node.js, Java และ .NET
  • ติดตั้ง SDK: ติดตั้ง Authy SDK ลงในโปรเจกต์ผ่านเครื่องมือจัดการแพ็คเกจ เช่น pip สำหรับ Python หรือ npm สำหรับ Node.js
  • เชื่อมต่อ API: ใช้ API Key ที่ได้จาก Authy Dashboard เพื่อเชื่อมต่อและเรียกใช้งานฟังก์ชันต่างๆ เช่น การสร้างรหัส QR Code สำหรับการลงทะเบียน 2FA, การยืนยันรหัส OTP และการจัดการผู้ใช้งาน

สามารถดูขั้นตอนการติดตั้งและเชื่อมต่อ API โดยละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.twilio.com/docs/verify/api

3. การเชื่อมต่อกับ Identity Provider (เช่น Google Workspace, Microsoft 365)

สำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ Identity Provider (IdP) อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น Google Workspace หรือ Microsoft 365 ตัว Authy สามารถสามารถเชื่อมกับระบบ Identity Provider เพื่อเสริมการยืนยันตัวตนได้เช่นกัน ซึ่งช่วยให้การจัดการบัญชีมีความปลอดภัยและเป็นศูนย์กลางมากขึ้น

4. ตั้งค่า Policy: ใครบ้างที่ต้องใช้ 2FA และวิธีการจัดการผู้ใช้งาน

IT Admin สามารถกำหนด Policy ได้ว่าผู้ใช้กลุ่มไหนบ้างที่จำเป็นต้องเปิดใช้งาน 2FA เช่น ผู้ใช้งานที่มีสิทธิ์ Admin, ผู้ใช้งานในฝ่ายการเงิน หรือผู้ใช้งานที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญของลูกค้า

  • บังคับใช้ 2FA: กำหนดให้ผู้ใช้งานที่เข้าข่ายต้องเปิดใช้งาน 2FA ทันทีที่ล็อกอินเข้าสู่ระบบครั้งแรก
  • การจัดการผู้ใช้งาน: หากผู้ใช้งานทำโทรศัพท์มือถือหาย Admin สามารถใช้ Authy Dashboard เพื่อบังคับยกเลิกการเชื่อมต่ออุปกรณ์เดิมและให้ผู้ใช้งานตั้งค่า 2FA ใหม่ได้

5. การทดสอบการล็อกอินแบบ 2FA ผ่าน Authy App

หลังจากติดตั้งและตั้งค่าระบบเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการทดสอบการล็อกอินเพื่อยืนยันว่าทุกอย่างทำงานได้อย่างถูกต้อง

  • ทดสอบการลงทะเบียน: ผู้ใช้งานล็อกอินเข้าสู่ระบบ ระบบจะแสดง QR Code ให้สแกนด้วย Authy App จากนั้นผู้ใช้จะสามารถเห็นรหัส OTP สำหรับบัญชีนั้นๆ บนแอป
  • ทดสอบการล็อกอิน: เมื่อต้องการล็อกอินอีกครั้ง ผู้ใช้จะถูกขอให้กรอกรหัส OTP ที่ปรากฏใน Authy App ซึ่งจะเปลี่ยนใหม่ทุก 30 วินาที หากรหัสถูกต้องก็จะสามารถเข้าสู่ระบบได้

องค์กรควรเลือกแบบไหน ระหว่าง Free 2FA หรือ Commercial 2FA?

คำตอบขึ้นอยู่กับเป้าหมายด้านความปลอดภัยและศักยภาพขององค์กร ขนาดขององค์กร งบประมาณ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

องค์กรขนาดเล็ก (SMB) หรือ Startup ควรเริ่มจาก Free Tools เช่น Authy ที่ใช้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อยกระดับความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน

องค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ที่มีข้อมูลที่ละเอียดอ่อนซึ่งหากรั่วไหลแล้วจะเกิดความเสียหายร้ายแรง ควรลงทุนใน Commercial Tools ที่มีฟีเจอร์ครบวงจร ทั้ง Monitoring, Policy Control และ Compliance รองรับ PDPA, ISO27001, GDPR เพื่อให้สามารถจัดการระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นใจในด้านความปลอดภัย และปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างครบถ้วน

หากองค์กรของคุณกำลังต้องการ Implement Commercial 2FA เพื่อการยืนยันตัวตนระดับ Enterprise สามารถคลิกติดต่อเรา เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม หรือ ดูรายละเอียดบริการทั้งหมดของเราได้ที่ https://www.cyfence.com/services/

แหล่งข้อมูลอ้างอิงจาก

https://hoxhunt.com/guide/phishing-trends-report
https://www.varonis.com/blog/cybersecurity-statistics
https://www.verizon.com/business/resources/Tea/reports/2025-dbir-data-breach-investigations-report.pdf
https://blog.knowbe4.com/verizon-nearly-80-of-data-breaches-involve-phishing-and-misuse-of-credentials
https://www.fortinet.com/resources/cyberglossary/two-factor-authentication
https://www.authy.com/
https://www.twilio.com/en-us/user-authentication-identity/verify
https://eezit.ca/guide-to-implementing-two-factor-authentication/
https://www.rippling.com/blog/mfa-providers
https://www.concensus.com/blog/the-battle-of-authentication-apps/

 

บทความที่เกี่ยวข้อง