คู่มือถือครอง Digital Asset ปลอดภัยและต้นทุนต่ำ

15 ตุลาคม 2025

NT cyfence
NT cyfenceทีมงาน NT cyfence ที่พร้อมให้คำปรึกษา และ ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกองค์กร อย่างครบวงจร ด้วยทีมงานมืออาชีพ

‘Your Coin, Your Responsibility’
ลงทุนคริปโตแล้ว อย่าลืมลงทุนเพื่อปกป้องสินทรัพย์ของคุณ

ถึงแม้ว่าจุดแข็งของเงินดิจิทัลส่วนใหญ่จะอยู่ที่ความเป็น “self-sovereign” หรือการเป็นเจ้าของด้วยตนเอง ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในโลกการเงินไร้พรมแดนที่อิงการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อกำหนดว่าใครเป็นเจ้าของมูลค่าและใครถือเหรียญใด ซึ่งช่วยให้ผู้ถือครองได้รับประโยชน์หลายด้าน เช่น การป้องกันเงินเฟ้อ การลดโอกาสถูกเอาเปรียบจากคนกลาง หรือการทำธุรกรรมข้ามประเทศอย่างรวดเร็วและโปร่งใส

อย่างไรก็ตาม ความเป็นเจ้าของด้วยตนเอง ก็หมายถึงความรับผิดชอบเต็มรูปแบบต่อการดูแลทรัพย์สินดิจิทัลของตัวเองด้วยเช่นกัน ผู้ถือครองต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ทั้งการเก็บอุปกรณ์และรหัสผ่าน ไปจนถึงการเฝ้าระวังการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยตัวเอง นี่ไม่ต่างอะไรจากยุคที่คนเก็บทองด้วยตัวเองโดยไม่มีตัวกลางคอยรับประกัน หากเก็บไม่ดี หรือไม่ระมัดระวัง อาจสูญเสียทรัพย์สินโดยไม่มีใครช่วยได้ — เหมือนเอาทองไปขุดฝังไว้ในโอ่งใต้ดินโดยไม่บอกใคร

ในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เต็มไปด้วยโอกาส และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มูลค่าของทรัพย์สินเหล่านี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากย้อนกลับไปดู Bitcoin เมื่อราว ๆ ห้าปีที่แล้ว (ปี 2019) ราคาอยู่ที่ประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ BTC หรือประมาณ 125,000 บาท ลองคิดเล่น ๆ ว่าหากคุณลงทุนซื้อ Bitcoin ด้วยเงิน 1 ล้านบาทในตอนนั้น คุณจะได้ครอบครอง Bitcoin จำนวนประมาณ 8 BTC

เมื่อเทียบกับปัจจุบัน (กันยายน 2025) ที่ราคา Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 112,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ BTC หรือประมาณ 3,700,000 บาทไทย แปลว่า 8 BTC ที่คุณเก็บไว้เมื่อหลายปีก่อนจะมีมูลค่าประมาณ 29,600,000 บาทในปัจจุบัน — จากเงินหลักแสนเป็นหลักล้าน นับว่าเป็นผลตอบแทนที่น่าตื่นตาตื่นใจและยากจะมองข้าม

แต่ในขณะเดียวกัน มูลค่าที่สูงขึ้นก็กลายเป็น เป้าหมายล่อใจสำหรับแฮกเกอร์และภัยคุกคามต่าง ๆ ให้มุ่งเข้ามาโจมตีเพื่อขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นการมีทรัพย์สินดิจิทัลมูลค่าสูงจึงมาพร้อมกับความเสี่ยงหลายรูปแบบที่ผู้ใช้งานจะต้องเข้าใจ ไม่น้อยไปกว่าการเข้าใจหลัก Tokennomics หรือ หลักเศรษฐกิจของเหรียญนั้น ๆ การลงทุนเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตัวเองจึงถือเป็น ต้นทุนเล็ก ๆ ที่คุ้มค่า เพราะมักต่ำกว่าความเสียหายจริงที่อาจเกิดขึ้นจริง

“การลงทุนเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตัวเองจึงถือเป็นต้นทุนเล็ก ๆ ที่คุ้มค่า
เพราะต้นทุนในการป้องกันมักต่ำกว่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจริง”

ในบทความนี้ เราจะพาผู้ถือครองทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้ พร้อมแนะนำขั้นตอนปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกด้านในการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงแสดง ต้นทุนป้องกันตัวเองและผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับ เพื่อให้คุณพร้อมก้าวสู่โลกการเงินยุคใหม่ด้วยความมั่นใจ

การโจมตีที่เกิดขึ้นจริงจากแฮกเกอร์ในโลกคริปโต

เมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น อาชญากรก็มุ่งเป้าไปที่กระเป๋าคริปโต ตั้งแต่การโจมตีบุคคลทั่วไปไปประเทศการโจมตีระดับประเทศ สิ่งที่น่ากลัวคือเหล่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (state-sponsored hackers) มักโจมตีเพื่อขโมยเงินไปใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองหรือสงคราม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก เพราะไม่จำเป็นต้องบุกปล้นด้วยกองทัพ เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านของผู้ถือครองคริปโต ก็สามารถเข้าถึงมูลค่าอย่างมหาศาลได้ ขณะเดียวกัน แฮกเกอร์มือสมัครเล่นก็โฟกัสไปที่บุคคลที่มีกระเป๋าเงินมูลค่าสูงเพื่อหาทางโจมตีก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ

ในอดีต การถูกขโมยรหัสผ่านอีเมลอาจทำให้สูญเสียเพียงข้อมูลในอีเมลบางส่วน แต่ในปัจจุบัน หากรหัสที่ถูกขโมยเป็นกุญแจเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล คุณอาจสูญเสียเงินทั้งหมดในชีวิตของคุณ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่การโจมตีเพื่อหาผลประโยชน์จากกระเป๋าคริปโตที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบในทุกระดับ

ในปี 2025 การโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลของบุคคลมีมูลค่าความเสียหายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรูปแบบของการโจรกรรมทางไซเบอร์ ไปจนถึงการโจมตีทางกายภาพ ที่เรียกว่า “Wrench Attacks” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลจากผู้ถือคริปโตในโลกจริง และต่อไปนี้คือเหตุการณ์สำคัญบางส่วนจากข่าวรอบโลก

การโจรกรรมทางไซเบอร์มูลค่าหลายล้านดอลลาร์

  • การโจมตีทางสังคม (Social Engineering) มูลค่า 91 ล้านดอลลาร์: ในวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ผู้เสียหายถูกหลอกลวงโดยผู้แอบอ้างเป็นตัวแทนฝ่ายสนับสนุนของกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์และการแลกเปลี่ยนคริปโต ทำให้สูญเสียบิทคอยน์มูลค่าประมาณ 91 ล้านดอลลาร์ [ainvest]
  • การโจมตีผ่าน TikTok ในจีน: ผู้ใช้คริปโตในจีนสูญเสียเงินเกือบ 7 ล้านดอลลาร์จากการซื้อกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ที่ถูกโจมตีผ่าน Douyin (เวอร์ชันจีนของ TikTok) ซึ่งมีการเข้าถึงคีย์ส่วนตัวตั้งแต่การสร้าง ทำให้เงินถูกขโมยภายในไม่กี่ชั่วโมง [Cointelegraph]
  • การโจมตีฟิชชิ่งมูลค่า 900,000 ดอลลาร์: ผู้ใช้คริปโตสูญเสียเงิน 900,000 ดอลลาร์จากการโจมตีฟิชชิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการโจมตีที่พบบ่อยที่สุดในปีนี้ [YahooFinance]

การโจมตีทางกายภาพ: “Wrench Attacks”

  • การโจมตีทางกายภาพในเอเชียแปซิฟิก: รายงานจาก Chainalysis ระบุว่าเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับคริปโตมากที่สุดในปี 2025 โดยมีการบันทึกเหตุการณ์มากกว่า 20 ครั้ง ซึ่งรวมถึงการลักพาตัวและการขู่กรรโชก[Cryptonews]
  • การโจมตีทางกายภาพในยุโรป: ในฝรั่งเศส มีการลักพาตัวพ่อของผู้ประกอบการคริปโต และการพยายามลักพาตัวลูกสาวและหลานชายของซีอีโอของแพลตฟอร์ม Paymium ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้บริหารคริปโต [CryptoSlate]

สถิติและแนวโน้มในภาพรวม

  • มูลค่าความเสียหายรวม: ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมและการหลอกลวงในคริปโตมีมูลค่ารวมประมาณ 2.47 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าความเสียหายทั้งหมดในปี 2024 [Infosecurity Magazine]
  • การโจมตีต่อกระเป๋าเงินส่วนบุคคล: การโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังกระเป๋าเงินส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 23.35% ของการโจรกรรมทั้งหมดในปีนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่เพิ่มขึ้นในการขโมยสินทรัพย์จากผู้ใช้คริปโต [Chainalysis]

ภัยรอบตัวผู้ถือคริปโตมากมาย จะทำอย่างไรไม่ให้เงินหายไปในพริบตา

ผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลทุกคนล้วนเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน ภัยคุกคามก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อครับ แม้จะเป็นเพียงนักลงทุนรายเล็กในระดับบุคคล ผมเลยอยากให้ทุกคนลองหยุดคิด ก่อนจะก้าวไปสู่ขั้นตอนการป้องกันที่สำคัญ ลองมาสำรวจตัวเองไปพร้อมกันว่ามี “กับดัก” และ “ช่องโหว่” อะไรที่อยู่รอบตัวเรา และลองถามตัวเองไปด้วยในแต่ละข้อว่า วันนี้คุณยังมีข้อไหนที่ยังป้องกันได้ไม่ดีพอหรือเปล่า?

  1. การสะสมเหรียญที่มีมูลค่าไว้ที่กระเป๋าเดียวมากเกินไป
    เหมือนการเก็บทองคำทั้งหมดไว้ในหีบใบเดียว หากกระเป๋านั้นถูกแฮกเกอร์เจาะ หรือ สูญหาย คุณอาจเสียเงินที่สะสมมาทั้งหมดในครั้งเดียว
  2. การถูกอุบายล่อลวงโดยการใช้เทคนิคอันฉ้อฉล (Social Engineering หรือ Scam)
    แฮกเกอร์อาจไม่ใช้เทคนิคซับซ้อนทางระบบสารสนเทศ (IT) แต่ใช้ “ความไว้ใจ” ของคุณ เพื่อหลอกลวง เช่น โทรศัพท์ปลอม อีเมลหลอก หรือแม้แต่การปลอมตัวเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์เพื่อให้หลอกถามให้คุณเปิดเผยรหัสสำคัญ แล้วโอนทรัพย์สินของคุณไปให้แฮกเกอร์
  3. การใช้ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่มีมาตรฐาน
    การใช้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ที่อยู่นอกการกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐภายในประเทศ หรือการใช้กระเป๋าคริปโท (Wallet) ที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกแฮกหรือการปิดบริการโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ซึ่งอาจทำให้คุณไม่สามารถกู้คืนสินทรัพย์ได้
  4. ระวังความเสี่ยงการลงทุนในโปรเจกต์คริปโท (DeFi หรือ DApp)
    ในยุคของ DeFi มีบางโครงการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงโดยเฉพาะ โดยออกเหรียญและระดมทุนจากนักลงทุน จากนั้นยุติโครงการและหนีหายไปพร้อมกับเงินที่ระดมได้ (Rug Pull) ขณะเดียวกัน บางโครงการก็หละหลวมด้านความปลอดภัย ปล่อยให้มีช่องโหว่ในระบบกำหนดการดำเนินธุรกรรม (Smart Contract) ซึ่งอาจทำให้สินทรัพย์ของนักลงทุนสูญหายได้ทันที
  5. ภัยโจมตีทางกายภาพ (“Wrench Attack”)
    ไม่ใช่แค่โลกไซเบอร์ แต่การถูกข่มขู่หรือใช้กำลังในโลกจริง เพื่อบังคับให้คุณโอนคริปโทให้อาชญากร ก็เป็นภัยที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลก — ไม่ต่างจากถูกโจรดักปล้นที่มุมตึกเลยครับ
  6. ความไม่ระมัดระวังและการดูแลตัวเองไม่ดีพอ
    การลืมรหัสผ่าน และไม่สำรองรหัสสำรองเอาไว้ (Seed Phrase) หรือทำอุปกรณ์เก็บรหัสในการทำธุรกรรมหาย (Hardware Wallet) ก็ส่งผลทำให้คุณสูญเสียเงินทั้งหมด แม้จะไม่มีใครแฮกคุณก็ตาม

แนวทางปกป้องตัวเองจากภัยรอบตัวผู้ถือคริปโต

1. แยกกระเป๋า เก็บเงิน (Hot Wallet vs Cold Wallet)
การเก็บเหรียญทั้งหมดไว้ที่เดียวก็เหมือนเก็บไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว ถ้าตกแตกคือหมดทั้งก้อน

  • Hot Wallet: เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา สะดวกในการเทรด แต่เสี่ยงโดนแฮกได้ง่าย
  • Cold Wallet: เก็บออฟไลน์ เช่น Hardware Wallet ปลอดภัยกว่าในระยะยาว แต่ต้องระวังการสูญหายหรือ Seed Phrase ไม่ครบ
    แนวทาง: แบ่งเป็นสองก้อน — ใช้ Hot Wallet สำหรับเทรดเล็กน้อย และเก็บก้อนใหญ่ไว้ใน Cold Wallet

ต้นทุน: Hardware Wallet 3,000–5,000 บาท

2. ระวังตัวเองจากกลอุบาย (Social Engineering / Scam)
แฮกเกอร์มักไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน แต่ใช้ “ความไว้ใจ” ของเรา เช่น โทรศัพท์ปลอม อีเมลหลอก หรือปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Support เพื่อหลอกให้เปิดเผยรหัสสำคัญ
แนวทาง:

  • ไม่กดลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเปิดเผยข้อมูล
  • เปิด 2FA ทุกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับคริปโต

ต้นทุน: 0 บาท (ต้องใช้ความระวังและวินัย)

3. วิธีเลือก Exchange ที่ได้มาตรฐาน
การใช้บริการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลเสี่ยงมาก บางแห่งถูกแฮก หรือปิดหนีหายไปพร้อมเงินลูกค้า
แนวทาง:

  • เลือก Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงาน เช่น ก.ล.ต. ไทย หรือประเทศที่มีการกำกับเข้มงวด
  • ดูผลงานที่ผ่านมา เช่น เคยถูกแฮกไหม มีมาตรการชดเชยหรือไม่
  • ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย (Liquidity) และความโปร่งใสของบริษัท

ต้นทุน: 0 บาท (แค่เลือกแพลตฟอร์มให้ดี)

4. ตรวจสอบโปรเจกต์ก่อนลงทุน (DApp / Smart Contract)
การลงทุนในโปรเจกต์ที่ไม่มั่นคงเสี่ยงถูก Rug Pull หรือเจอช่องโหว่ Smart Contract เช่น เคสเหรียญ LUNA ที่พังพินาศ หรือโครงการเหรียญมีมที่ระดมทุนแล้วหายไป
แนวทาง:

  • ตรวจสอบ Audit Report ของ Smart Contract ที่ประกาศไว้ — หากเป็นโปรเจ็คที่ไม่มีรายละเอียดครบถ้วนและโปร่งใส ให้สงสัยไว้ก่อนเลย
  • ศึกษาความน่าเชื่อถือของทีม และให้ดูว่าที่ผ่านแนวทางดำเนินการเป็นอย่างไร
  • ทดลองเชื่อมต่อด้วย Burner Wallet ก่อน เพื่อไม่ให้กระเป๋าหลักเสี่ยง ซึ่งจุดนี้อธิบายอย่างง่ายเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจว่า นี่คือการใช้กระเป๋าที่มีมูลค่าต่ำของเราเข้าไปเชื่อมต่อกับโปรเจกต์คริปโตที่ยังไม่ได้ดูน่าเชื่อถือมาก เพื่อลดโอกาสสูญเสีย และเมื่อกระเป๋านี้มีมูลค่ามากขึ้น ให้รีบโอนมาเก็บที่ Cold Wallet

ต้นทุน: 0 บาท (ใช้เวลาและความรอบคอบ)

5. ป้องกันภัยทางกายภาพ จาก “Wrench Attack”
ภัยไม่ใช่แค่บนไซเบอร์ แต่รวมถึงในโลกจริง การถูกบังคับด้วยกำลังข่มขู่ให้โอนเงินก็เกิดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศ
แนวทาง:

  • ไม่เปิดเผยปริมาณสินทรัพย์กับคนไม่รู้จัก
  • เก็บ Hardware Wallet ในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟที่ธนาคาร
  • พิจารณากระจายการเก็บไว้ในจุดที่บุคคลอื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้สำหรับกระเป๋า Cold Wallet

ต้นทุน: ค่าเช่าตู้เซฟที่ธนาคาร 1,000–3,000 บาท/ปี

6. ดูแล Seed Phrase และการกู้คืนกระเป๋าคริปโตของตัวเอง (Self-Custody Management)
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครแฮกกระเป๋าของคุณได้ แต่ถ้าคุณ ลืมรหัส ทำอุปกรณ์ ‘Hardware Wallet’ หาย หรือ สูญเสียรหัสกู้คืนกระเป๋าที่เรียกว่า ‘Seed Phrase’ คุณก็อาจเสียเงินทั้งหมดเองอยู่ดี
แนวทาง:

  • จด Seed Phrase หลายชุด แยกเก็บในที่ปลอดภัย ซึ่งแนะนำว่าควรจดด้วยลายมือให้ชัดเจนและไม่ควรเก็บทั้งหมดไว้จุด ๆ เดียว และขอให้คำนึงเรื่องภัยความเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าเป็น อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติต่าง ๆ ตามพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่
  • ใช้เทคโนโลยี Multi-Signature หรือมาตรฐาน SLIP39 (Shamir Secret Sharing) เพื่อแบ่งรหัสกู้คืนออกเป็นหลายส่วน ต้องใช้หลายชิ้นมาประกอบถึงจะกู้คืนได้ ซึ่งหากตั้งค่าให้ถูกต้อง เราสามารถเก็บรหัสแยกไว้ได้หลายส่วน และ ที่สำคัญคือ สามารถทำหายได้บางส่วน เช่น หากตั้งค่าว่าให้ใช้ 2 ใน 3 ส่วน แปลว่า หากเราสูญเสียไป 1 ส่วน เราสามารถ ใช้รหัส 2 ส่วนที่เหลือก็สามารถกู้คืนกระเป๋าคริปโตได้
  • อย่าเก็บ Seed Phrase ไว้บนคลาวด์หรือรูปถ่ายมือถือ — ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าเน้น Offline เป็นหลักเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ต้นทุน: 0–500 บาท (วัสดุเก็บ Seed Phrase / อุปกรณ์เสริม)

เปรียบเทียบเหตุการณ์จริงกับการประยุกต์ใช้แนวทางป้องกัน

การเตรียมการส่งต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

นอกจากการป้องกันความเสี่ยงระหว่างถือครองแล้ว ผู้ลงทุนควรเตรียมการสำหรับการส่งต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในกรณีที่ไม่สามารถจัดการเองได้ เช่น การระบุไว้ในพินัยกรรม หรือจัดเก็บข้อมูลสำคัญอย่าง Seed Phrase และรหัสผ่านในรูปแบบที่ผู้รับมรดกสามารถเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย ซึ่งหากทรัพย์สินเหล่านั้นยังถูกเก็บไว้ที่ศูนย์ซื้อขาย (Crypto Exchange) ที่น่าเชื่อถือ ผู้จัดการมรดกก็ยังสามารถแจ้งขอรับการจัดการสินทรัพย์ในบัญชีของผู้ใช้ที่เสียชีวิตได้ด้วย ซึ่งในปัจจุบันผู้ให้บริการในประเทศไทย มีมาตรฐานได้มีแนวทางรองรับเพื่อการโอนสินทรัพย์ให้แก่ทายาทตามกฎหมายอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่สะสมไว้จะสามารถส่งต่อไปถึงผู้มีสิทธิ์ได้จริง ไม่สูญหายไปโดยไร้ประโยชน์ (ตัวอย่าง)

ความปลอดภัยไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุน

การถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ต่างจากการถือครองทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกจริง ยิ่งมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตาม หากละเลยเรื่องการป้องกันเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่ความสูญเสียมหาศาลที่ไม่อาจกู้คืนได้ แต่หากมองความปลอดภัยเป็นการลงทุน ไม่ใช่ภาระค่าใช้จ่าย คุณจะพบว่า ต้นทุนเล็ก ๆ ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอุปกรณ์จัดเก็บกุญแจดิจิทัลของสินทรัพย์คริปโต (Hardware Wallet) มาใช้งาน หรือการเปิดใช้การยืนยันสองขั้นตอน (2FA) ไปจนถึงการสำรองรหัสกู้คืน (Seed Phrase) อย่างปลอดภัย เพราะทั้งหมดนี้ล้วนช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และสุดท้ายนี้ผมขอฝากทุกท่านให้อย่าลืมหมั่นทบทวนและตรวจสอบข้อมูลที่ใช้เพื่อเข้าถึงกระเป๋าเงินของตัวคุณให้ดี ไม่ว่าจะเป็นรหัสผ่านหรือรหัสกู้คืนต่าง ๆ ให้มีพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพราะใครจะรู้ได้ว่าเหรียญที่คุณเคยเก็บไว้เมื่อหลายปีก่อนอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาล และคงน่าเสียดายมากเลยล่ะครับ หากคุณไม่สามารถเข้าถึงกระเป๋าเหล่านั้นเพื่อนำออกมาใช้จ่ายและสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้

**เพราะในโลกคริปโต คุณคือ “เจ้าของ” และ “ผู้ปกป้อง” สินทรัพย์ของตัวเอง การลงทุนในความปลอดภัยจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น สิ่งพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อรักษาอนาคตทางการเงินของคุณให้อยู่กับคุณไปได้นานที่สุด**

บทความที่เกี่ยวข้อง