“ล้างรอยดิจิทัล” เคล็ดลับจัดการข้อมูลส่วนตัวให้ปลอดภัย

2 ตุลาคม 2025

NT cyfence
NT cyfenceทีมงาน NT cyfence ที่พร้อมให้คำปรึกษา และ ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกองค์กร อย่างครบวงจร ด้วยทีมงานมืออาชีพ

ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปอีกต่อไป แต่เปรียบเสมือน “สินทรัพย์” ที่มีมูลค่ามหาศาลและเป็นเป้าหมายหลักของอาชญากรไซเบอร์ การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจึงไม่ใช่เพียงการรักษาความเป็นส่วนตัว แต่คือการสร้างเกราะป้องกันเชิงรุกต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบทั้งต่อบุคคลและองค์กร

ภัยคุกคามจากการแชร์ข้อมูลมากเกินไป

ภัยคุกคามต่อความปลอดภัยส่วนบุคคล

  • Phishing และ Social Engineering: การเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อย เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ อาจถูกนำไปใช้สร้างข้อความหลอกลวงที่มีความน่าเชื่อถือสูง เพื่อหลอกขโมยข้อมูลที่สำคัญกว่า เช่น รหัสผ่านหรือข้อมูลทางการเงิน
  • Identity Theft (การขโมยตัวตนดิจิทัล): เมื่อข้อมูลอย่างวันเกิด หมายเลขโทรศัพท์ และที่อยู่ ถูกนำมาผูกโยงเข้าด้วยกัน แฮกเกอร์สามารถสวมรอยเป็นเจ้าของข้อมูลเพื่อเข้าถึงบัญชีออนไลน์ หรือแม้กระทั่งทำธุรกรรมทางการเงินแทนได้
  • การสะกดรอย (Stalking): การแชร์ตำแหน่ง, รูปภาพ, หรือกิจกรรมแบบเรียลไทม์ อาจเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีติดตามหรือคุกคาม
  • การละเมิดความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลที่แชร์อาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ไม่เหมาะสม เช่น การล้อเลียน, การเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต

ในแง่องค์กร

  • การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ: พนักงานที่แชร์ภาพหน้าจอ, เอกสาร, หรือข้อมูลการประชุม อาจเปิดเผยข้อมูลความลับทางธุรกิจ
  • การโจมตีแบบ Targeted Attack: แฮกเกอร์สามารถใช้ข้อมูลที่แชร์เพื่อใช้วางแผนโจมตีเฉพาะบุคคลหรือระบบขององค์กร
  • ความเสียหายต่อชื่อเสียง: การแชร์ข้อมูลภายในหรือความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสมอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร

สถิติการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้

ข้อมูลจาก IBM Cost of a Data Breach Report 2024 ชี้ให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการรั่วไหลของข้อมูลหนึ่งครั้งสูงถึง 4.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนึ่งในสาเหตุหลักคือการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่รัดกุม ขณะเดียวกัน Surfshark Research (2024) พบว่ามีข้อมูลผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 2,600 ล้านบัญชี ถูกเปิดเผยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มค้นหาข้อมูลถือเป็นช่องทางที่ถูกโจมตีมากที่สุด

ที่มา : newsroom.ibm.com, surfshark.com

เหตุผลที่ควรเริ่มทำ “Digital Clean-Up”

  • ลดความเสี่ยงทางไซเบอร์
    การจัดการหรือลบข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็น ลดโอกาสที่แฮกเกอร์จะรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปใช้โจมตีต่อเนื่อง
  • ควบคุมภาพลักษณ์ดิจิทัล (Digital Reputation Management)
    ข้อมูลหรือโพสต์ในอดีตสามารถถูกใช้ย้อนกลับมาสร้างผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของทั้งบุคคลและองค์กร
  • สอดคล้องกับมาตรฐานด้านกฎหมายและ Compliance
    การจัดการข้อมูลให้เป็นระบบช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น PDPA และ GDPR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเริ่มต้นดูแล Data Privacy จึงไม่ใช่แค่ “ปิดข้อมูล” แต่คือการ ล้างรอยดิจิทัลที่คุณเผลอทิ้งไว้ และสร้างนิสัยใหม่ในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ

ความหมายของ Digital Footprint และความเกี่ยวข้องกับ Data Privacy

Digital Footprint คือ “ร่องรอยข้อมูลดิจิทัล” ที่เกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เชื่อมต่อ ทุกกิจกรรมออนไลน์ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่กิจกรรมบนออนไลน์ล้วนสร้างข้อมูลที่อาจถูกบันทึกโดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม เว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งผู้ไม่หวังดี ร่องรอยเหล่านี้สัมพันธ์โดยตรงกับ Data Privacy เพราะเป็นจุดที่ทำให้บุคคลภายนอกเข้าถึง ขยายผล หรือโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น
การทำความเข้าใจ Digital Footprint ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการจัดการ Data Privacy เพราะทุกพฤติกรรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการคลิก การค้นหา หรือการโพสต์ ล้วนทิ้งร่องรอยข้อมูลที่สามารถถูกติดตาม วิเคราะห์ และเชื่อมโยงกลับมาหาตัวเราได้

Digital Footprint สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะหลัก ได้แก่

Active Footprint – ข้อมูลที่เราสร้างขึ้นโดยตรง เช่น
– การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพลงบนโซเชียลมีเดีย
– การแสดงความคิดเห็นในโพสต์ กระทู้ หรือบล็อก
– การกรอกฟอร์มสมัครสมาชิกหรือแบบสอบถามออนไลน์

Passive Footprint – ข้อมูลที่ถูกเก็บโดยอัตโนมัติ เช่น
– Cookies และ Search History จากการเข้าเว็บไซต์
– Location Data ที่ได้จากการเปิด GPS
– Metadata จากไฟล์ รูปภาพ หรือเอกสารที่อัปโหลดออนไลน์

ข้อมูลที่มักถูกแชร์โดยไม่รู้ตัว

  • หมายเลขโทรศัพท์และอีเมลที่เชื่อมกับบัญชีโซเชียล
  • ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น วันเกิด ที่อยู่ สถานศึกษา ที่ทำงาน
  • เนื้อหาเก่าที่โพสต์ไว้ เช่น สถานะ ความคิดเห็น หรือรูปถ่ายกิจกรรม
  • บัญชีที่ไม่ได้ใช้งาน (Unused Accounts) แต่ยังเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น Email Free เก่า ๆ หรือ Online Account เก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

ทำไมรอยเท้าเล็ก ๆ เหล่านี้จึงอันตราย

แม้ข้อมูลแต่ละชิ้นจะดูไม่สำคัญ แต่เมื่อถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันกลับสร้าง “ภาพรวมตัวตนดิจิทัล” ที่ครบถ้วนเพียงพอสำหรับอาชญากรไซเบอร์ เช่น

  • Phishing แบบ Targeted: ใช้ข้อมูลโปรไฟล์จริง ๆ เพื่อสร้างอีเมลหรือข้อความหลอกลวงที่ดูน่าเชื่อถือ
  • Credential Stuffing: เมื่ออีเมลและรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลถูกนำไปลองล็อกอินกับบริการอื่น
  • Physical Security Risk: การโพสต์พิกัดหรือเช็กอินบ่อย ๆ อาจเผยให้เห็นช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่บ้าน

Digital Footprint ไม่ได้เป็นเพียงร่องรอยดิจิทัลธรรมดา แต่คือ “พื้นที่การโจมตี (Attack Surface)” ที่ขยายออกไปทุกครั้งที่คุณใช้อินเทอร์เน็ต หากไม่จัดการอย่างเหมาะสม องค์กรและบุคคลต่าง ๆ ก็เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทั้งในเชิงไซเบอร์และในชีวิตจริง

ตัวอย่างวิธีลบข้อมูลส่วนตัวออกจาก Internet

วิธีลบข้อมูลออกจาก Search Engine

หนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการ “ล้างรอยดิจิทัล” คือการจัดการข้อมูลที่ปรากฏบน Search Engine เนื่องจาก Google, Bing หรือ Yahoo! มักเป็นจุดเริ่มต้นที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ค้นหาข้อมูลเป้าหมาย การลดการปรากฏของข้อมูลส่วนบุคคลในผลการค้นหาจึงช่วยลดความเสี่ยงเชิงรุกได้อย่างมาก

1. ใช้เครื่องมือ Google “Results About You”
Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ Results About You เพื่อช่วยผู้ใช้งานตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ ว่ามีปรากฏอยู่ในผลการค้นหาหรือไม่ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

1. เข้าสู่ระบบ Google Account ของคุณ

2. ไปที่ Results About You

3. กรอกข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล

4. ระบบจะแสดงผลว่ามีการพบข้อมูลใน Search Engine หรือไม่
5. ผู้ใช้สามารถกด “Request Removal” เพื่อส่งคำขอลบข้อมูลที่ไม่ต้องการออกจากผลการค้นหาได้โดยตรง

 

2. ใช้บริการ Data Removal Service
สำหรับผู้ที่ต้องการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบและครอบคลุมมากขึ้น สามารถใช้บริการจากผู้ให้บริการด้าน Data Privacy เช่น:

  • Incogni – บริการที่ช่วยส่งคำขอลบข้อมูลไปยัง Data Broker หลายราย พร้อมติดตามสถานะอัตโนมัติ
  • DeleteMe – ช่วยตรวจสอบและลบข้อมูลออกจากฐานข้อมูลออนไลน์, directory, และแพลตฟอร์มโฆษณาที่เก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อขายต่อ
  • Kanary หรือ OneRep – เครื่องมือที่เน้นการ monitor ข้อมูลรั่วไหลและส่งคำขอลบอย่างต่อเนื่อง

การใช้บริการเหล่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายรายเดือนหรือรายปี แต่สำหรับผู้บริหารหรือบุคคลที่ต้องการลดความเสี่ยงเชิงรุกอย่างจริงจัง ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และเป็นบริการจากต่างประเทศ อาจไม่รองรับภาษาไทยหรือข้อมูลจากประเทศไทยทั้งหมด

กลยุทธ์เชิงรุกสำหรับองค์กรในการปกป้อง Data Privacy

  • Establish Data Privacy Policy: สร้างนโยบายตรวจสอบข้อมูลที่องค์กรเปิดเผยสู่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
  • Regular Audit: ใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลของพนักงาน/องค์กรทุก 3–6 เดือน เพื่อป้องกันการเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ
  • Awareness Training: ให้ความรู้กับพนักงานเกี่ยวกับการลบหรือจำกัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นบน Search Engine

การลบข้อมูลออกจาก Search Engine ไม่ได้หมายถึงการ “หายไปอย่างถาวร” แต่เป็นการ ลด Attack Surface และทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญของคุณได้ยากขึ้น เป็นก้าวสำคัญของการดูแล Data Privacy อย่างมืออาชีพ

เคล็ดลับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลมีเดีย

โซเชียลมีเดียคือพื้นที่ที่ผู้ใช้มักเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่รู้ตัวมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ รูปภาพ หรือโพสต์เก่า ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกนำไปใช้โจมตีทางไซเบอร์ได้ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Settings) อย่างถูกต้องจึงเป็นวิธีเชิงรุกในการลดความเสี่ยง และควรเป็น Baseline Security Practice สำหรับทั้งบุคคลและองค์กร

Facebook

  • Lock Profile: เปิดใช้งานการล็อกโปรไฟล์เพื่อจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ ข้อมูลโปรไฟล์ และโพสต์ โดยคนที่ไม่ใช่เพื่อนจะไม่สามารถดูรายละเอียดได้ทั้งหมด
  • Limit Past Posts: จำกัดการเข้าถึงโพสต์เก่า ๆ โดยปรับสิทธิ์การมองเห็นเป็น “เฉพาะเพื่อน” เพื่อลดโอกาสที่ข้อมูลในอดีตจะถูกนำไปใช้โจมตี
  • ปิดการค้นหาด้วยเบอร์โทร: ปิดฟังก์ชันการค้นหาโปรไฟล์ด้วยหมายเลขโทรศัพท์ เพราะข้อมูลนี้มักถูกใช้ในการทำ Social Engineering หรือ SMS Phishing

Instagram / X (Twitter)

  • ตั้งค่าบัญชีเป็น Private: ทำให้เฉพาะผู้ที่คุณอนุมัติเท่านั้นที่สามารถติดตามและเห็นโพสต์ได้ ลดโอกาสที่ข้อมูลหรือรูปภาพจะถูกนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ปิดการ Tag อัตโนมัติ: ตั้งค่าให้คุณเป็นผู้อนุมัติแท็กก่อนที่โพสต์หรือรูปภาพจะปรากฏบนโปรไฟล์ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาศัยการ mention หรือ phishing ผ่านแท็ก

การจัดการโพสต์ รูปภาพ และบัญชีเก่า

  • ลบหรือซ่อนโพสต์ที่ไม่จำเป็น: ข้อมูลที่เคยแชร์ เช่น สถานที่ทำงานเก่า หมายเลขติดต่อ หรือกิจกรรมในอดีต อาจถูกนำมาใช้ประกอบการโจมตีแบบ Spear Phishing ได้
  • ตรวจสอบอัลบั้มรูปและ Metadata: รูปภาพที่อัปโหลดอาจมี Metadata เช่น พิกัด GPS หากไม่ลบออก อาจเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่โดยไม่รู้ตัว
  • ปิดหรือยกเลิกบัญชีที่ไม่ใช้งาน (Unused Accounts): บัญชีเก่าที่ไม่ได้ดูแลมักไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัยล่าสุด ทำให้กลายเป็นช่องโหว่สำคัญในการโจมตี

แนวทางสำหรับองค์กรในการใช้โซเชียลมีเดีย

  • Policy: สร้างและบังคับใช้นโยบายองค์กรที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียสำหรับพนักงาน โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ
  • Awareness Training: จัดการฝึกอบรมให้พนักงานรู้จักปรับตั้งค่า Privacy และตระหนักถึงความเสี่ยงจากข้อมูลที่แชร์โดยไม่ตั้งใจ
  • Regular Review: ตรวจสอบและอัปเดตการตั้งค่า Privacy อย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าได้ปิดช่องโหว่ใหม่ ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์ม

Checklist – อะไรที่ควร Clean Up ตอนนี้เลย

 

การ “ล้างรอยดิจิทัล” ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการตรวจสอบและจัดการข้อมูลที่เราเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ประโยชน์ได้ นี้คือ Checklist ขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนสามารถทำได้ทันที

1.ตรวจสอบบัญชีที่ไม่ได้ใช้และลบทิ้ง

บัญชีที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการดูแล มักขาดการอัปเดตด้านความปลอดภัย และกลายเป็นช่องโหว่ที่ง่ายต่อการแฮ็ก

  • ค้นหาบัญชีเก่า เช่น อีเมล, ฟอรั่ม, โซเชียลมีเดีย, แอปเกมออนไลน์ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
  • ดาวน์โหลดข้อมูลสำคัญเก็บไว้ก่อน จากนั้นปิดหรือลบบัญชีถาวร

2.ลบหรือซ่อนโพสต์/รูปเก่าที่เปิด Public

ข้อมูลเก่า เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร หรือรูปที่เผยพิกัด GPS อาจถูกนำไปใช้ในการทำ Social Engineering ได้

  • ตรวจสอบโพสต์ รูปภาพ หรือวิดีโอที่เคยตั้งค่าเป็น “สาธารณะ”
  • ซ่อนจาก Public หรือเปลี่ยนเป็น “Friends Only” บนแพลตฟอร์มโซเชียล

3.จำกัดสิทธิ์การแชร์ข้อมูลกับแอป Third-Party

แอป Third-Party บางรายอาจเก็บหรือขายข้อมูลของผู้ใช้ให้ Data Broker โดยที่คุณไม่รู้ตัว

  • ตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างบัญชีโซเชียลกับแอปพลิเคชันภายนอก เช่น เกม แอป Shopping หรือปลั๊กอินต่าง ๆ
  • ปิดสิทธิ์การเข้าถึงที่ไม่จำเป็น และเก็บไว้เฉพาะแอปที่ใช้งานจริง

4.เช็กการตั้งค่าการเก็บข้อมูลของ Browser และปิด Tracking Cookies

Tracking Cookies ถูกใช้ในการติดตามพฤติกรรมการท่องเว็บ และอาจถูกใช้ประกอบการสร้างโปรไฟล์ส่วนบุคคลเพื่อการโฆษณาเชิงรุกหรือการเจาะระบบ

  • เข้าไปที่ Settings > Privacy and Security ของ Browser
  • ลบ Cookies และ Cache เป็นประจำ
  • เปิดใช้งาน “Block Third-Party Cookies” และ “Do Not Track”

 

สรุปข้อดีของการ Clean Up Data Privacy และสิ่งที่ควรระวัง

การทำ Data Privacy Clean Up เป็นมากกว่าการลบโพสต์หรือปิดบัญชีที่ไม่ใช้แล้ว แต่คือการยกระดับการปกป้องตัวตนดิจิทัลให้มีความปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดการข้อมูลก็มีข้อควรระวังที่ผู้ใช้งานต้องตระหนัก เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

ข้อดีของการ Clean Up Data Privacy

  • ลดความเสี่ยงการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (Identity Theft) เมื่อข้อมูลสำคัญ เช่น เบอร์โทร อีเมล หรือที่อยู่ ไม่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ โอกาสที่อาชญากรจะนำไปสวมรอยก็ลดลงอย่างชัดเจน
  • ลดโอกาสการโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลที่ถูกลบออกจาก Search Engine หรือโซเชียลมีเดียจะทำให้ Attack Surface เล็กลง ทำให้การเจาะระบบหรือ Social Engineering ทำได้ยากขึ้น
  • เพิ่มความมั่นใจด้านความปลอดภัย ผู้ใช้งานและองค์กรมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่เปิดเผยมีเพียงสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ และอยู่ภายใต้การควบคุม
  • เสริมภาพลักษณ์ดิจิทัล (Digital Reputation) การจัดการข้อมูลช่วยให้โปรไฟล์ออนไลน์สะอาด น่าเชื่อถือ และไม่ถูกผูกโยงกับข้อมูลเก่าที่อาจส่งผลเสียในอนาคต

สิ่งที่ควรระวังเมื่อทำ Data Clean Up

  • การลบข้อมูลต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะเป็นการส่งคำขอไปยัง Google หรือการใช้บริการ Data Removal ข้อมูลจะไม่ถูกลบทันที บางกรณีอาจใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
  • บางแพลตฟอร์มไม่ยอมลบถาวร แม้คุณจะส่งคำขอแล้ว แต่บางบริการยังคงเก็บข้อมูลไว้ในระบบ เช่น backup หรือ archive ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยผู้ใช้
  • ควรมีการตรวจสอบซ้ำอย่างสม่ำเสมอ แม้คุณจะทำการ Clean Up แล้ว แต่ข้อมูลใหม่อาจปรากฏขึ้นภายหลัง จำเป็นต้องตั้งรอบการตรวจสอบ เช่น ทุก 3–6 เดือน เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ต่อเนื่อง
  • ผลกระทบต่อการใช้งาน การปิด Cookies หรือจำกัด Third-Party Access อาจกระทบกับประสบการณ์ใช้งานบางเว็บไซต์หรือแอป เช่น ต้องล็อกอินบ่อยขึ้น

แม้ว่าการทำ Data Privacy Clean Up จะสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญก่อนที่จะลบข้อมูลคือการมี Awareness ในการนำเข้าข้อมูล และสำหรับองค์กรหรือผู้บริหารที่ต้องการความมั่นใจสูงสุด การมีผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity เข้ามาช่วยตรวจสอบและวางแผนอย่างเป็นระบบ ถือเป็นสิ่งจำเป็น NT cyfence ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity ระดับประเทศ พร้อมให้บริการครบวงจรเพื่อยกระดับมาตรฐานต่าง ๆ ในการดูและและปกป้องข้อมูลของคุณ

หากองค์กรของคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาหรือผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ครอบคลุมและครบวงจร สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก NT cyfence ได้ที่ โทร 1888 หรือคลิกดูรายละเอียดบริการทั้งหมดของเราได้ที่ https://www.cyfence.com/services/

บทความที่เกี่ยวข้อง