การประเมินความเสี่ยงก่อนที่จะสายเกินแก้

28 พฤศจิกายน 2016

NT cyfence
NT cyfenceทีมงาน NT cyfence ที่พร้อมให้คำปรึกษา และ ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกองค์กร อย่างครบวงจร ด้วยทีมงานมืออาชีพ

หากเราต้องการติดต่อบริษัทใดๆก็แล้วแต่เราจะต้องทำอย่างไร? แน่นอนว่าหากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน เราอาจจะต้องเปิดสมุดหน้าเหลืองเพื่อหาเบอร์ติดต่อบริษัทหรือหน่วยงานเหล่านั้น แต่หากเป็นในปัจจุบันมีช่องทางการติดต่อบริษัทหรือหน่วยงานใดๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Social Network, Website ขององค์กร, Email ของผู้ประสานงานของบริษัทนั้นเองก็ตามที ซึ่งจะเห็นว่าแตกต่างไปจากอดีตอย่างมาก Service ที่ให้บริการขององค์กรต่างๆก็เช่นกัน ณ ปัจจุบัน เราไม่จำเป็นต้องไปที่การไฟฟ้าเพื่อไปจ่ายค่าไฟฟ้าของเราแต่อย่างใด เราสามารถจ่ายค่าไฟฟ้าจาก Application ในมือถือได้เลย เราสามารถซื้อของสดและของสาธารณูปโภคใดๆได้เลยผ่านเว็บไซด์ของห้างร้านต่างๆ ซึ่งเบื้องหลังเทคโนโลยีเหล่านั้น ล้วนเป็น server ขององค์กรนั้นทั้งสิ้น ทีนี้หากผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึง server นั้นๆได้ Hacker ก็สามารถเข้าถึง server ได้เช่นกัน แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า server เหล่านั้นมีความปลอดภัยมากพอ หรือมีเครื่องมือป้องกันที่ดีพอที่จะรับมือกับผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านั้นได้

จากอดีตถึงปัจจุบัน

หากเราได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับความปลอดภัยอยู่บ่อยๆ เราจะพบว่าการสรุปสถิติภัยคุกคามต่างๆทั่วโลกเพิ่มอย่างต่อเนื่องมากขึ้นทุกๆปี ไม่ว่าจะเป็น McAfee, Whitehat Security และบริษัทที่เกี่ยวกับความปลอดภัยทางด้าน IT มากมาย

risk-assessment-before-its-too-late-01

รูปภาพรายงาน malware ที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆปีจากเอกสาร McAfee Labs Threats Report, March 2016[1]

risk-assessment-before-its-too-late-02

รูปภาพรายงานการโจมตีทางเว็บไซด์ที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆปีจากเอกสาร Web Application Security Statistics Report, 2016 โดย Whitehat Security [2]

ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นมีผลกระทบจากสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้ทางด้าน Security ที่ง่ายขึ้น, ตลาดมืดในโลก Cyber ที่มีการซื้อขาย malware generator (เครื่องมือในการสร้าง malware) ที่โตอย่างมากในช่วง 2-3 ปีให้หลัง, และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ส่งผลกระทบให้องค์กรต่างๆเป็นเป้าหมายต่อการโจมตีได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ซึ่งเราได้ข่าวกันหลายต่อหลายครั้งว่าองค์กรใหญ่ระดับโลกก็ถูกแฮ็คมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Yahoo, NSA, Sony Picture, TalkTalk และอื่นๆอีกมากมาย ล้วนถูกแฮ็คมาแล้วทั้งสิ้น

ทีนี้หากลองมองกลับมาในฝ่ายขององค์กรที่ต้องป้องกันภัยคุกคามต่างๆกันบ้าง เราจะพบว่าองค์กรต่างๆ(รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน) ทราบและตระหนักมากขึ้นถึงภัยคุกคามที่มากขึ้นทุกๆปี ดังที่เห็นกันว่าในหลายๆ องค์กรมีการลงทุนอุปกรณ์ทางด้านการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันระบบ IT มากขึ้น แต่องค์กรเหล่านั้นกลับลืมไปเช่นกันว่า อุปกรณ์ที่ซื้อมานั้นไม่ใช่อุปกรณ์เฉกเช่นเดียวกับอุปกรณ์เน็ตเวิร์คทั่วไปแต่อย่างใด อุปกรณ์ทางด้านการรักษาความปลอดภัยทางด้าน IT ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทันที (ไม่ใช่อุปกรณ์แบบ Plug-n-Play) อุปกรณ์เหล่านั้นจำเป็นต้องมีการปรับปรุง(Tune) แก้ไขค่าต่างๆให้เหมาะสมกับองค์กร เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดกับองค์กร อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการเพิ่มความแข็งแกร่ง (Harden) และปรับปรุง (update) server ที่ให้บริการเหมาะสมกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่เพียงแค่นั้นเหล่า Developer ยังจำเป็นต้องพัฒนา Application ที่ให้บริการมีความปลอดภัย (Secure Coding) อีกด้วย

ทีนี้องค์กรเหล่านั้นจะทราบได้อย่างไรว่าอุปกรณ์, server และ Application ที่ให้บริการอยู่ มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะรับมือการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้นี้กัน

การประเมิณความเสี่ยง (IT Risk Assessment)

การจะป้องกันทรัพย์สินใดๆขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องมองจากในมุมของ Hacker บ้าง ว่าหากเราเป็น Hacker จะทำการโจมตีเข้ามาจากช่องทางไหน โจมตีอย่างไร และใช้เครื่องมืออะไรในการโจมตี ซึ่งการจำลองตัวเองให้เป็น Hacker และทำการโจมตีนั้น สามารถทำได้ 2 แบบ คือ

risk-assessment-before-its-too-late-03

รูปภาพตัวอย่าง Report จาก OpenVAS Vulnerability Scanner

risk-assessment-before-its-too-late-04

รูปภาพตัวอย่าง Report จาก OWASP Zaproxy

โดยที่นี้จะยกตัวอย่างการใช้เครื่องมืออย่าง JoomlaVS(Joomla Vulnerability Scanner) ในการ scan หาช่องโหว่ของเว็บไซด์ที่ติดตั้ง Joomla ซึ่งหนึ่งใน CMS (Content Management System) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดครับ

risk-assessment-before-its-too-late-05ภาพผลการ scan ด้วย JoomlaVS

จากภาพจะเห็นว่าเครื่องมืออย่าง JoomlaVS นั้นจะเริ่มจากการตรวจสอบก่อนว่า Joomla เป็น version อะไร โดยดูจากลักษณะของเว็บเพจและไฟล์ต่างๆของเว็บไซด์เช่น README.txt เป็นต้น จากนั้น JoomlaVS จึงตรวจสอบในฐานข้อมูลอีกที เพื่อตรวจสอบว่า Joomla version ดังกล่าวมีช่องโหว่อะไรบ้างนั่นเอง ซึ่งจากกระบวนการทำงานของ JoomlaVS จะพบว่า JoomlaVS ไม่มีการทดสอบช่องโหว่จากฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นช่องโหว่ที่ยังสามารถโจมตีได้จริงหรือไม่ อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะมีช่องโหว่นอกเหนือจากที่ JoomlaVS ตรวจพบอีกด้วย เนื่องด้วย JoomlaVS ไม่สามารถที่จะตามช่องโหว่ใหม่ที่มีการเปิดเผยออกมาในทุกๆวันได้นั่นเอง

Penetration Testing คือการการสวมบทเป็น Hacker จริงๆ ไม่เพียงแต่การตรวจสอบช่องโหว่ของทรัพย์สินที่ต้องการเท่านั้น Penetration Tester (หรือเรียกย่อๆว่า Pentester) ยังจำเป็นต้องทดสอบด้วยว่าช่องโหว่ที่ตรวจพบเหล่านั้นสามารถนำมาใช้โจมตีได้จริงๆหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น Pentester ยังจำเป็นต้องทดสอบเพิ่มเติมจากเครื่องมือ Vulnerability Scanner เพื่อให้คลอบคลุมกับมุมมองทั้งหมดของ Hacker นั่นเอง

risk-assessment-before-its-too-late-06

จากภาพเป็นการทดสอบการโจมตี Joomla โดยโจมตีไปที่ช่องโหว่ CVE-2016-8869 และ CVE-216-8870 โดยช่องโหว่ดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

Application: Joomla
Version: 3.4.4 – 3.6.4
ความรุนแรง: สูง (High)
CVE-2016-8869: ช่องโหว่ทำให้สามารถสร้าง user ภายในระบบได้ แม้ว่าระบบจะปิดการลงทะเบียน user ก็ตาม

Application: Joomla
Version: 3.4.4 – 3.6.4
ความรุนแรง: สูง (High)
CVE-2016-8870: ช่องโหว่การเพิ่มระดับสิทธิ์ของ user ให้มีสิทธิ์ที่สูงขึ้น

โดยช่องโหว่ทั้ง 2 นี้เป็นช่องโหว่ที่ไม่สามารถตรวจพบได้ด้วย JoomlaVS แต่อย่างใด แม้ว่าจะทำการ update เป็น version ล่าสุดแล้วก็ตามที ซึ่งจะเห็นว่า Pentester ไม่สามารถทีจะเชื่อถือเครื่องมือได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังจำเป็นต้องมีความรู้และความสามารถในการค้นหาช่องโหว่เพิ่มเติมได้เองอีกด้วย อีกทั้งในบางสถานการณ์ เราอาจจะต้องจำลองสภาพแวดล้อมของระบบที่ต้องการจะตรวจสอบ เพื่อทดสอบเจาะระบบก่อนที่จะกระทำกับระบบจริงอีกด้วย

นั่นคือสิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง Vulnerability Assessment และ Penetration Testing อีกทั้งหากเราลองมองว่าองค์กรต้องการจะผ่านมาตรฐานอย่าง ISO27001 หรือ PCI-DSS ก็จำเป็นจะต้องมีการทำ Penetration Testing อยู่แล้ว เพราะมีการระบุชัดเจนในกฏข้อบังคับของมาตรฐานว่าจำเป็นต้องทำ Vulnerability และ Penetration Testing นั่นเอง ซึ่งหากเรามองในประเทศไทยก็จะพบว่ามีหลายๆ บริษัทให้บริการทดสอบเจาะระบบแบบนี้เช่นกัน ซึ่ง NT cyfence ก็ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการให้บริการในลักษณะนี้ โดยมีชื่อที่ให้บริการคือ IT Risk Assessment นั่นเอง

สิ่งที่เราจะได้รับจากบริการแบบนี้คือ Report ที่จะทำให้เราได้ทราบถึงจุดอ่อนที่เรามีอยู่ จุดอ่อนที่เราจะต้องเพิ่มการป้องกัน จุดอ่อนที่เราจะต้องแก้ไขก่อนที่จะสายเกินไป

บทสรุป

แม้ว่าภัยคุกคามในโลกจะเพิ่มมากขึ้นอยู่ทุกๆวินาที แต่หากเรามีการเตรียมตัวการป้องกันที่ดีพอ มีการแก้ไขและปรับปรุงจุดอ่อนที่เราทำการตรวจสอบอยู่อย่างสม่ำเสมอ เราก็จะพร้อมที่จะรับมือภัยคุกคามเหล่านั้นได้มากขึ้น ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้องค์กรไม่พบกับคำครหาที่หลายๆ องค์กรต้องเจ็บปวดกันมาเสมอคือ “วัวหายล้อมคอก” นั่นเอง

Reference :

[1] http://www.mcafee.com/us/resources/reports/rp-quarterly-threats-mar-2016.pdf[2] https://info.whitehatsec.com/rs/675-YBI-674/images/WH-2016-Stats-Report-FINAL.pdf

 เขียนโดย : Anonymous

บทความที่เกี่ยวข้อง